Aller au contenu principal

ฟุตบอลทีมชาติบราซิล


ฟุตบอลทีมชาติบราซิล


ฟุตบอลทีมชาติบราซิล (โปรตุเกส: Seleção Brasileira de Futebol) เป็นทีมฟุตบอลชายตัวแทนของประเทศบราซิล อยู่ภายใต้การควบคุมของสมาพันธ์ฟุตบอลบราซิล (CBF) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลฟุตบอลในประเทศบราซิล พวกเขาเป็นสมาชิกของฟีฟ่ามาตั้งแต่ ค.ศ. 1923 และเป็นสมาชิกของคอนเมบอลมาตั้งแต่ ค.ศ. 1916

บราซิลเป็นทีมชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฟุตบอลโลก โดยชนะเลิศทั้งสิ้น 5 สมัยในปี 1958, 1962, 1970, 1994 และ 2002 นอกจากนี้ ยังทำอีกหลายสถิติในฟุตบอลโลก ได้แก่ ชนะมากที่สุดที่ 76 นัดจากการลงเล่น 114 นัด ทำผลต่างประตูได้ถึง 129 ลูก ทำคะแนนได้ถึง 247 แต้ม และแพ้เพียงแค่ 19 นัดเท่านั้น บราซิลเป็นเพียงทีมชาติเดียวที่ลงแข่งขันฟุตบอลโลกครบทุกครั้ง และไม่เคยต้องแข่งขันในรอบเพลย์ออฟ

บราซิลเป็นทีมชาติที่มีอันดับอีโลโดยเฉลี่ยสูงที่สุดในโลก และมีอันดับอีโลสูงสุดสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยการจัดอันดับนี้เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1962 บราซิลได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่ามากที่สุดที่ 13 ครั้ง บรรดานักวิจารณ์และอดีตผู้เล่นต่างออกมายกย่องว่าทีมชาติบราซิลยุคปี 1970 เป็นทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก ส่วนทีมชาติบราซิลในยุคอื่น ๆ ก็ถูกมองว่าเป็นทีมที่มีคุณภาพดีด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ทีมชาติในปี 1958–62 และ 1982

บราซิลเป็นเพียงชาติเดียวที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกบนสี่ทวีปที่แตกต่างกัน ได้แก่ หนึ่งสมัยที่ยุโรป (สวีเดน 1958), หนึ่งสมัยที่อเมริกาใต้ (ชิลี 1962), สองสมัยที่อเมริกาเหนือ (เม็กซิโก 1970 และสหรัฐ 1994) และหนึ่งสมัยที่เอเชีย (เกาหลีใต้/ญี่ปุ่น 2002) พวกเขาเป็นหนึ่งในสามทีมชาติร่วมกับฝรั่งเศสและอาร์เจนตินาที่ชนะเลิศการแข่งขันครบสามรายการใหญ่ของฟีฟ่า ได้แก่ ฟุตบอลโลก, คอนเฟเดอเรชันส์คัพ และโอลิมปิกฤดูร้อน พวกเขาเคยครองสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันมากที่สุดที่ 35 นัดร่วมกับทีมชาติสเปน บราซิลยังเป็นชาติที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในรายการฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพจากการชนะเลิศสี่สมัยใน ค.ศ. 1997, 2005, 2009 และ 2013 และจากการคว้าเหรียญทองในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 ส่งผลให้บราซิลเป็นชาติที่สองต่อจากฝรั่งเศสที่ชนะเลิศการแข่งขันฟุตบอลชายของฟีฟ่าแบบผู้เล่น 11 คนในทุกรุ่นอายุ

บราซิลมีทีมชาติคู่ปรับหลายทีม ได้แก่ อาร์เจนตินา ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Superclássico das Américas ในภาษาโปรตุเกส, อิตาลี ซึ่งรู้จักกันในชื่อ Clásico Mundial ในภาษาสเปนหรือ เวิลด์ดาร์บี ในภาษาอังกฤษ อุรุกวัย จากเหตุการณ์มารากานาโซอันเป็นบาดแผลทางใจของบราซิล ฝรั่งเศส จากการพบกันในฟุตบอลโลกที่บราซิลมักเป็นรองกว่า เนเธอร์แลนด์ จากการพบกันในฟุตบอลโลกและรูปแบบการเล่นของทั้งสองทีมที่คล้ายกัน และโปรตุเกส จากการที่ทั้งคู่มีมรดกและวัฒนธรรมร่วมกัน เช่นเดียวกับการที่มีนักฟุตบอลชาวบราซิลหลายคนเกิดที่โปรตุเกส มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า "อังกฤษคิดค้นฟุตบอล แต่บราซิลทำให้มันสมบูรณ์แบบ" (Os ingleses o inventaram, os brasileiros o aperfeiçoaram)

ประวัติ

ก่อตั้งทีมยุคแรก (1914–1922)

เป็นที่เชื่อกันโดยทั่วไปว่าการแข่งขันครั้งแรกของฟุตบอลทีมชาติบราซิลเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1914 เป็นการรวมตัวนักฟุตบอลชาวบราซิลจากเมืองริโอเดอจาเนโรและเซาเปาลู โดยได้แข่งขันกับสโมสรฟุตบอลจากประเทศอังกฤษกับสโมสรฟุตบอลเอ็กซิเตอร์ซิตี ที่สนามฟลูมีเนงซีสเตเดียม. ผลปรากฏว่าทีมชาติบราซิลเอาชนะไปได้ 2–0 จากประตูของ ออสวัลโด โกมีซ และ ออสแมน, ซึ่งในปีเดียวกันเกมส์ในระดับนานาชาติครั้งแรกของทีมชาติบราซิลคือการเล่นกับ อาร์เจนตินา โดยนัดนี้บราซิลได้แพ้ไป 3–0 โดยแข่งกันที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ต่อมา ภายใต้การคุมทีมของอาร์ตูร์ ฟรีเดนริช หนึ่งในกองหน้าระดับตำนานของบราซิล พวกเขาชนะเลิศการแข่งขันรายการแรกในโกปาอาเมริกา ค.ศ. 1919 ตามด้วยแชมป์สมัยที่สองในอีกสามปีถัดมา

ฟุตบอลโลกครั้งแรก (1930–1949)

บราซิลลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย พวกเขาเริ่มต้นด้วยการชนะโบลิเวีย แต่แพ้ยูโกสลาเวียตกรอบแบ่งกลุ่ม ต่อมาในฟุตบอลโลก 1934 ที่อิตาลีเป็นเจ้าภาพ พวกเขาตกรอบแรกโดยแพ้สเปน 1–3 และมีผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลก 1938 โดยเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนจะแพ้ทีมแชมป์ในครั้งนั้นคืออิตาลี 1–2 โดยพวกเขาเป็นทีมจากทวีปอเมริกาใต้เพียงทีมเดียวที่ได้แข่งขันในครั้งนี้ บราซิลยุติช่วงเวลา 27 ปีที่ไม่สามารถชนะเลิศการแข่งขันระดับทางการด้วยการคว้าแชมป์โกปาอเมริกาด้วยผลงานชนะถึง 6 จาก 7 นัด จบอันดับหนึ่งในการแข่งขันซึ่งในครั้งนี้พวกเขาเป็นเจ้าภาพเช่นเดียวกับปี 1922

มารากานาซู

บราซิลเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1950 พวกเขาทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก และลงเล่นนัดตัดสินกับอุรุกวัยในนัดสุดท้ายของรอบต่อมา ณ สนามกีฬามารากานัง โดบบราซิลต้องการเพียงผลเสมอเพื่อคว้าแชมป์โลก แต่เป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยผลประตู 1–2 การแข่งขันในนัดนี้ถูกเรียกว่า "มารากานาซู" นำไปสู่ความผิดหวังของชาวบราซิลทั้งประเทศ

ต่อมา ในฟุตบอลโลก 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์ บราซิลมีการสร้างทีมขึ้นใหม่อีกครั้ง รวมถึงเปลี่ยนสีชุดแข่งขันจากสีขาวล้วนมาเป็นสีเหลืองและสีเขียวเป็นครั้งแรกซึ่งเป็นสีธงชาติ ทั้งนี้ เพื่อต้องการเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้ชาวบราซิลหลังจากความผิดหวังในฟุตบอลโลกครั้งก่อน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายรายแต่ยังมีผู้เล่นชื่อดังหลายคน พวกเขาเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศและแพ้ทีมเต็งแชมป์อย่างฮังการีด้วยผลประตู 2–4 ซึ่งเป็นหนึ่งในนัดการแข่งขันฟุตบอลที่ดุเดือดและได้รับการวิจารณ์ถึงความรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดยมีผู้เล่นได้รับใบแดงถึงสามคนได้รับการตั้งชื่อว่าเป็น "การต่อสู้แห่งเมืองแบร์น"

ยุคทองของเปเล่ (1958–70)

ในฟุตบอลโลก 1958 บราซิลถูกจับสลากอยู่กลุ่มเดียวกับอังกฤษ, สหภาพโซเวียต และออสเตรีย พวกเขาเปิดสนามด้วยการเอาชนะออสเตรีย 3–0 ต่อด้วยการเสมออังกฤษ 0–0 และในนัดสุดท้ายของกลุ่ม หัวหน้าผู้ฝึกสอน บีเซนเต ฟีโอลา เลือกที่จะพักผู้เล่นตัวหลักสามคนอย่างซีตู, การิงชา และเปเล่เป็นตัวสำรอง ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าบราซิลจะต้องแพ้โซเวียตอย่างแน่นอน เมื่อเริ่มต้นการแข่งขัน พวกเขาแข่งขันด้วยความกดดันในช่วง 3 นาทีแรก (ซึ่ง 3 นาทีนี้ถูกเรียกว่าเป็น "สามนาทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอล") ก่อนที่วาว่าจะยิงประตูขึ้นนำ และจบลงด้วยชัยชนะ 2–0 ของบราซิล ต่อมา เปเล่ทำประตูชัยช่วยให้ทีมเอาชนะเวลส์ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ก่อนที่ทีมจะไปเอาชนะฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศ 5–2 และในรอบชิงชนะเลิศ บราซิลเอาชนะสวีเดนไปได้ 5–2 ทำให้พวกเขาชนะเลิศฟุตบอลโลกสมัยแรกและเป็นชาติแรกที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกนอกทวีปของตน เปเล่ร้องไห้พร้อมกล่าวว่า เวลาของเขากับทีมชาติมาถึงแล้ว

ในฟุตบอลโลก 1962 บราซิลคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองโดยมีการิงชาเป็นผู้เล่นตัวหลัก แม้ว่าเปเล่จะได้รับบาดเจ็บในนัดที่สองของกลุ่มที่พบกับเชโกสโลวาเกียจนไม่สามารถลงเล่นในนัดที่เหลือได้ก็ตาม

ในฟุตบอลโลก 1966 บราซิลมีผลงานในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ พวกเขากล่าวว่าการแข่งขันครั้งนี้มีการเข้าสกัดที่หนักและเปเล่ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ได้รับผลกระทบนั้น โดยในนัดที่พบกับโปรตุเกส เปเล่ถูกผู้เล่นโปรตุเกสเข้าสกัดอย่างหนักถึง 7 ครั้งก่อนที่เขาจะต้องออกจากเกมและไม่ได้ลงเล่นในรายการนั้นอีกเลย บราซิลจึงตกรอบแรกของฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1934 และกลายเป็นแชมป์โลกเก่าทีมที่สองที่ต้องตกรอบแรกต่อจากอิตาลีใน ค.ศ. 1950 เช่นเดียวกันกับฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และเยอรมนีที่เป็นแชมป์เก่าและตกรอบแรกเช่นกันในปี 2002, 2010, 2014 และ 2018 ตามลำดับ หลังการแข่งขันครั้งนั้น เปเล่ประกาศว่าเขาจะไม่ลงเล่นในฟุตบอลโลกอีก อย่างไรก็ตาม เขากลับมาลงเล่นอีกครั้งใน ค.ศ. 1970

บราซิลชนะเลิศฟุตบอลโลกเป็นสมัยที่สามที่เม็กซิโกในปี 1970 โดยผู้เล่นชุดนั้นถูกขนานนามว่าเป็นผู้เล่นชุดที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งประกอบไปด้วยเปเล่ที่ลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย, กัปตันทีม การ์ลุส อัลเบร์ตู ตูร์เรซ, แจร์ซิญโญ, ตอสเตา, แกร์สัน และรีเวลีนู แม้ว่าการิงชาจะเลิกเล่นไปแล้ว แต่ทีมก็ยังมีขุมกำลังที่แข็งแกร่ง พวกเขาชนะรวดทั้ง 6 นัด ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มที่เอาชนะเชโกสโลวาเกีย, อังกฤษ และโรมาเนีย ต่อด้วยการเอาชนะเปรู, อุรุกวัย และอิตาลีในรอบแพ้คัดออก แจร์ซิญโญเป็นผู้เล่นที่ทำประตูมากเป็นอันดับที่สองในรายการนั้นที่ 7 ประตู และเป็นผู้เล่นเพียงคนเดียวที่ทำประตูครบทุกนัดในฟุตบอลโลก ในขณะเปเล่ทำได้ 4 ประตู บราซิลได้ชูถ้วยรางวัลชูลส์รีเมต์เป็นครั้งที่ 3 ทำให้พวกเขาเป็นชาติแรกที่ได้เก็บถ้วยรางวัลนี้เป็นการถาวร ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนรูปแบบถ้วยรางวัลใหม่ ซึ่งบราซิลต้องใช้เวลาถึง 24 ปีกว่าจะได้ชูถ้วยรางวัลนี้อีกครั้ง

ยุคถดถอย (1974–1990)

หลังจากที่เปเล่และผู้เล่นตัวหลักคนอื่น ๆ ที่ลงแข่งขันฟุตบอลโลก 1970 ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ บราซิลมีผลงานที่แย่ลง โดยพ่ายแพ้ให้กับเนเธอร์แลนด์ในฟุตบอลโลก 1974 ที่เยอรมนีตะวันตก และจบอันดับที่ 4 หลังจากที่แพ้ในการชิงอันดับที่ 3 ให้กับโปแลนด์

ในรอบแบ่งกลุ่มรอบสองของฟุตบอลโลก 1978 บราซิลต้องแย่งชิงอันดับเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพอย่างอาร์เจนตินา โดยในนัดสุดท้ายของกลุ่ม บราซิลเอาชนะโปแลนด์ 3–1 และขึ้นเป็นจ่าฝูงของกลุ่มด้วยผลต่างประตู +5 ในขณะที่อาร์เจนตินา ซึ่งยังไม่ได้แข่งขันในนัดสุดท้าย มีผลต่างประตู +2 เท่านั้น แต่ในนัดสุดท้ายของกลุ่มของอาร์เจนตินา พวกเขาเอาชนะเปรูยับเยิน 6–0 ทำให้อาร์เจนตินามีผลต่างประตูแซงบราซิลจนได้เข้าชิงชนะเลิศ ส่วนบราซิลต้องไปชิงอันดับที่สาม ซึ่งพวกเขาสามารถเอาชนะอิตาลีได้ และยังเป็นทีมเดียวที่ไม่แพ้ใครในรายการแข่งขันครั้งนั้น

ในฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปน บราซิลถูกมองว่าเป็นตัวเต็งของรายการนั้น แต่ความพ่ายแพ้ของพวกเขาต่ออิตาลี 3–2 ที่บาร์เซโลนา ทำให้พวกเขาต้องตกรอบ โดยการตกรอบครั้งนั้นถูกเรียกว่า "หายนะที่ซาร์เรีย" ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อสนามที่แข่งขัน ทีมชาติบราซิลในฟุตบอลโลกครั้งนั้นมีกองกลางอย่างโซกราเตส, ซิโก้, ฟัลเกา และเอแดร์ พวกเขาถูกจดจำในฐานะทีมที่ดีที่สุดที่ไม่ชนะเลิศฟุตบอลโลก

ผู้เล่นบางคนจากฟุตบอลโลก 1982 อย่างโซกราเตสและซิโก้ ได้กลับมาลงเล่นในฟุตบอลโลก 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก บราซิลยังคงมีทีมที่ดีและมีแนวรับที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อสี่ปีก่อน พวกเขาพบกับฝรั่งเศสซึ่งนำทีมโดยมีแชล ปลาตีนีในรอบก่อนรองชนะเลิศซึ่งถือเป็นเกมโททัลฟุตบอลที่คลาสสิกเกมหนึ่ง ผลจบลงด้วยการเสมอในเวลาปกติ 1–1 และไม่มีการทำประตูเพิ่มในช่วงต่อเวลาพิเศษ ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ ซึ่งบราซิลเป็นฝ่ายแพ้ไป 4–3 ต่อมาบราซิลชนะเลิศโกปาอาเมริกา 1989 นับเป็นการชนะเลิศรายการนี้ครั้งแรกในรอบ 40 ปี และเป็นการชนะเลิศครั้งที่สี่จากการแข่งขันรายการใหญ่สี่ครั้งที่จัดขึ้นในประเทศตัวเอง นี่ยังถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกของบราซิลในรอบ 19 ปีหลังจากที่ชนะเลิศฟุตบอลโลก 1970

บราซิลเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี ภายใต้การคุมทีมของเซบัสตีเอา ลาซาโรนี ซึ่งเคยคุมทีมชนะเลิศโกปาอาเมริกา 1989 ทีมชาติชุดนี้เน้นระบบเกมรับโดยมีกองกลางอย่างดุงกา, กองหน้าอย่างคาเรซา และเซ็นเตอร์แบ็กถึงสามคน แม้ว่าทีมจะขาดความสร้างสรรค์ในการเข้าทำ แต่พวกเขาก็ผ่านเข้าสู่รอบที่สองได้ พวกเขาตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการพ่ายแพ่ต่ออาร์เจนตินาที่นำทีมโดยดิเอโก มาราโดนา 1–0 ที่ตูริน

กลับมาประสบความสำเร็จ (1994–2002)

หลังจากที่ไม่ชนะเลิศหรือเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกมาเป็นเวลานานถึง 24 ปี บราซิลได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐ โดยทีมชาติชุดนั้นมีแนวรุกอย่างโรมารีอูและเบแบตู, กองกลางอย่างกัปตันดุงกา, ผู้รักษาประตู เกลาดีโอ ทัฟฟาเรล และกองหลังอย่างฌอร์ฌีญู พวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้เป็นสมัยที่ 4 โดยทำผลงานอันโดดเด่นด้วยการเอาชนะสหรัฐ 1–0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เอาชนะเนเธอร์แลนด์ 3–2 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่แดลลัส และเอาชนะสวีเดน 1–0 ในรอบรองชนะเลิศที่โรสโบวล์ในแพซาดีนา ก่อนที่จะเข้าไปชิงชนะเลิศกับอิตาลีที่แพซาดีนาเช่นกัน เกมนัดชิงชนะเลิศจบลงด้วยผลเสมอไร้ประตู ทำให้ต้องตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ ซึ่งบราซิลเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้หลังจากที่โรแบร์โต บัจโจ คนยิงสุดท้ายของอิตาลี ยิงลูกโทษไม่เข้า แม้ว่าจะบราซิลจะประสบความสำเร็จ แต่ทีมชุดที่ชนะเลิศฟุตบอลโลกครั้งนั้นกลับไม่ได้รับการยกย่องเทียบเท่ากับทีมชุดชนะเลิศฟุตบอลโลกครั้งอื่น โดยโฟร์โฟร์ทูกล่าวว่าทีมชาติชุดชนะเลิศฟุตบอลโลก 1994 ไม่เป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลในประเทศ เนื่องด้วยรูปแบบการเล่นที่เน้นรับมากกว่ารุก

บราซิลเข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลก 1998 ในฐานะแชมป์เก่า ซึ่งพวกเขาจบด้วยตำแหน่งรองชนะเลิศ ในรายการนั้น บราซิลจบอันดับที่หนึ่งของกลุ่ม ก่อนที่จะเอาชนะได้ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายและรอบก่อนรองชนะเลิศ บราซิลเอาชนะการยิงลูกโทษต่อเนเธอร์แลนด์หลังจากที่เสมอกัน 1–1 ในรอบรองชนะเลิศ ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์อย่างโรนัลโดทำ 4 ประตูและ 3 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ผู้เล่นที่ดีที่สุดในโลก ณ ตอนนั้นอย่างโรนัลโด กลับประสบภาวะลมชักเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนเริ่มแข่ง การประกาศรายชื่อผู้เล่นตัวจริงซึ่งไม่มีโรนัลโด ส่งความประหลาดใจให้กับสื่อมวลชนเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม โรนัลโดกล่าวว่าเขารู้สึกดีขึ้นและต้องการลงเล่น ทำให้ผู้ฝึกสอนส่งชื่อของเขาลงเล่นทันที โรนัลโดเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานในเกมนัดนั้น ส่งผลให้ทีมพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศสที่นำทีมโดยซีเนดีน ซีดาน 3–0

ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม บราซิลซึ่งนำทัพโดยสามประสานกองหน้า "3R" (โรนัลโด, รีวัลดู และรอนัลดีนโย) สามารถคว้าแชมป์สมัยที่ 5 ได้สำเร็จ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการเอาชนะคู่แข่งครบทั้งสามนัดในรอบแบ่งกลุ่มที่เกาหลีใต้ โดยในนัดเปิดสนามที่บราซิลพบกับตุรกีที่อุลซันนั้น รีวัลดูล้มลงบนพื้นพร้อมเอามือกุมหน้า หลังจากที่ถูกผู้เล่นของตุรกีอย่าง Hakan Ünsal เตะลูกบอลไปโดนขาของเขา รีวัลดูรอดพ้นจากการถูกแบน แต่ต้องเสียค่าปรับ 5,180 ปอนด์จากการแสดงละครตบตา เขากลายเป็นผู้เล่นคนแรกที่ถูกลงโทษด้วยกรณีพุ่งล้มจากทางฟีฟ่า ในรอบแพ้คัดออกที่แข่งขันกันที่ญี่ปุ่น บราซิลเอาชนะเบลเยียม 2–0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่โคเบะ ต่อมาพวกเขาเอาชนะอังกฤษ 2–1 ในรอบก่อนรองชนะเลิศที่ชิซูโอกะ โดยได้ประตูชัยจากฟรีคิกระยะ 40 หลาของรอนัลดีนโย และเอาชนะตุรกี 1–0 ในรอบรองชนะเลิศที่ไซตามะ ก่อนที่จะเข้าชิงชนะเลิศกับเยอรมนีที่โยโกฮามะ ซึ่งโรนัลโดทำสองประตูช่วยให้บราซิลเอาชนะไปได้ 2–0 โรนัลโดได้รับรางวัลรองเท้าทองคำประจำทัวร์นาเมนต์จากการที่เขาทำได้ถึง 8 ประตู ความสำเร็จของบราซิลครั้งนั้นทำให้เขาได้รับรางวัลทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลอรีอุสเวิลด์สปอร์ตส

ไร้ความสำเร็จในฟุตบอลโลก (2002–ปัจจุบัน)

บราซิลชนะเลิศโกปาอาเมริกา 2004 ซึ่งเป็นแชมป์รายการที่สามจากการแข่งขันสี่ครั้งหลังสุดนับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 นอกจากนี้ พวกเขายังชนะเลิศฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2005 ซึ่งถือเป็นแชมป์สมัยที่สองของพวกเขาในรายการนี้ ผู้จัดการทีมอย่างการ์ลุส อับแบร์ตู ปาร์ไรราก่อร่างสร้างทีมด้วยระบบ 4–2–2–2 ซึ่งมีชื่อเรียกติดปากว่า "เมจิกควอเต็ต" (Magic quartet) ระบบนี้มีผู้เล่นในแนวรุกถึงสี่คน ได้แก่ โรนัลโด, อาดรียานู, กาก้า และรอนัลดีนโย

ในฟุตบอลโลก 2006 บราซิลชนะในสองนัดแรกเหนือโครเอเชีย (1–0) และออสเตรเลีย (2–0) และในนัดสุดท้ายของกลุ่ม บราซิลเอาชนะฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นไปได้ถึง 4–1 โดยโรนัลโดทำสองประตูจนกลายเป็นสถิติร่วมของผู้ที่ทำประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุด ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้าย บราซิลเอาชนะกานา 3–0 โดยโรนัลโดทำประตูที่ 15 ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นที่ทำประตูในรายการนี้มากที่สุดแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม บราซิลตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการพ่ายแพ้ต่อฝรั่งเศส 1–0 ซึ่งฝรั่งเศสได้ประตูชัยจากตีแยรี อ็องรี

ดุงกาเข้ารับตำแหน่งผู้จัดการทีมใน ค.ศ. 2006 บราซิลชนะเลิศโกปาอาเมริกา 2007 ซึ่งกองหน้าอย่างโรบินยูได้รับรางวัลรองเท้าทองคำและผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ สองปีถัดมา บราซิลชนะเลิศฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 ด้วยการเอาชนะสหรัฐ 3–2 ในรอบชิงชนะเลิศ ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่สาม กาก้าได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ ในขณะที่กองหน้าตัวเป้าอย่างลูอีส ฟาเบียนูได้รับรางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์

ในฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ พวกเขาเอาชนะสองนัดแรกในรอบแบ่งกลุ่มเหนือต่อเกาหลีเหนือ (2–1) และโกตดิวัวร์ (3–1) ก่อนที่จะเสมอกับโปรตุเกส 0–0 ในนัดสุดท้าย พวกเขาเอาชนะชิลีในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 3–0 ก่อนที่จะตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการแพ้เนเธอร์แลนด์ 2–1

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2010 มาโน มีนีซีสเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ ในโกปาอาเมริกา 2011 บราซิลตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการแพ้ต่อปารากวัย แม้ว่าบราซิลจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลก 2014 ด้วยการเป็นเจ้าภาพ แต่การไม่ได้แข่งขันในรอบคัดเลือก ทำให้พวกเขามีอันดับโลกฟีฟ่าที่ตกลงไปถึงอันดับที่ 11

การกลับมาของสโกลารี (2013–14)

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 มาโน มีนีซีสถูกไล่ออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน โดยมีลูอิส ฟีลีปี สโกลารีเข้ามาทำหน้าที่แทน

วันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 2013 บราซิลรั้งอันดับโลกฟีฟ่าที่อันดับ 22 ซึ่งเป็นอันดับที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา พวกเขาเข้าร่วมแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 ในฐานะแชมป์เก่า โดยในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาเอาชนะสเปน 3–0 และคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยที่สี่ เนย์มาร์ นอกจากจะได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์แล้ว ยังได้รับรางวัลบอลทองคำและรองเท้าเงินอาดิดาส ในขณะที่ผู้รักษาประตูอย่างชูลีอู เซซาร์ได้รับรางวัลถุงมือทองคำและผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์

ฟุตบอลโลก 2014

ในฟุตบอลโลก 2014 บราซิลประเดิมสนามด้วยการเอาชนะโครเอเชียโดยได้สองประตูจากเนย์มาร์และอีกหนึ่งประตูจากโอสการ์ ทำให้พวกเขาชนะนัดเปิดสนามฟุตบอลโลกในประเทศตัวเองเป็นครั้งแรกในรอบ 64 ปี นัดถัดมา พวกเขาเสมอกับเม็กซิโก และสามารถผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกได้หลังจากที่เอาชนะแคเมอรูน 4–1 โดยได้สองประตูจากเนย์มาร์และอีกคนละประตูของแฟรจีและเฟร์นังจิญญู ต่อมาในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่บราซิลเสมอกับชิลี 1–1 พวกเขาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 18 จากดาวิด ลูอีซ ซึ่งถือเป็นประตูของเขาในนามทีมชาติ ก่อนที่สุดท้าย บราซิลจะเอาชนะการยิงลูกโทษไปได้ 3–2 จากการยิงของเนย์มาร์, ดาวิด ลูอีซ และมาร์เซลู และการเซฟทั้งสามลูกยิงของชูลีอู เซซาร์

ต่อมาในรอบก่อนรองชนะเลิศ พวกเขาพบกับทีมจากอเมริกาใต้อีกครั้ง โดยสามารถเอาชนะโคลอมเบียไปได้ 2–1 พวกเขาได้ประตูจากกองหลัง ดาวิด ลูอีซ และกัปตันทีม ชียากู ซิลวา อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของเกม เนย์มาร์ต้องออกจากการแข่งขันหลังจากที่เข่าของฆวน คามิโล ซูนิกาไปกระแทกใส่หลังของกองหน้าคนนี้ เนย์มาร์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลและได้รับการวินิจฉัยว่ากระดูกสันหลังหัก ทำให้เขาจะไม่ได้ลงเล่นในนัดที่เหลือต่อจากนี้ ก่อนที่จะบาดเจ็บ เนย์มาร์ยิงได้สี่ประตู ทำหนึ่งแอสซิสต์ และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำนัดถึงสองครั้ง บราซิลต้องพบกับปัญหาใหญ่ในรอบรองชนะเลิศที่จะพบกับเยอรมนี เมื่อชียากู ซิลวาติดโทษแบนหลังจากที่ได้รับใบเหลืองครบสองใบในทัวร์นาเมนต์หลังจบรอบก่อนรองชนะเลิศ

ในรอบรองชนะเลิศ บราซิลแพ้เยอรมนียับเยิน 1–7 นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดในฟุตบอลโลกและเป็นความพ่ายแพ้ในบ้านในเกมการแข่งขันครั้งแรกของพวกเขานับตั้งแต่ ค.ศ. 1975 ก่อนที่จะจบเกม แฟนบอลเจ้าบ้านส่งเสียงร้องเพลง "โอเล" ในทุก ๆ ครั้งที่เยอรมนีจ่ายบอล และส่งเสียงโห่ใส่ผู้เล่นของฝั่งตนเองหลังจากที่มีเสียงนกหวีดเป่าจบเกม เกมนั้นถูกเรียกว่า มีเนย์ราซู ตามชื่อสนามมีเนย์เรา เพื่อให้คล้ายกับเหตุการณ์มารากานาซูที่บราซิลแพ้ในบ้านต่ออุรุกวัยในปี 1950 ต่อมา บราซิลพ่ายแพ้ต่อเนเธอร์แลนด์ในรอบชิงอันดับที่สาม 0–3 ทำให้ในการแข่งขันครั้งนั้น บราซิลกลายเป็นชาติที่เสียประตูเยอะที่สุดในบรรดา 32 ชาติที่เข้าร่วมแข่งขัน โดยเสียไปทั้งสิ้น 14 ประตู มีเพียงเกาหลีเหนือและซาอุดีอาระเบียเท่านั้นที่เสียมากกว่าหรือเท่ากับ 12 ประตูในการแข่งขันฟุตบอลโลกรูปแบบปัจจุบัน หลังจากที่ทำผลงานได้ย่ำแย่ สโกลารีได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน

การกลับมาของดุงกา (2014–2016)

วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 ดุงกากลับมาเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนอีกครั้งหลังจากที่ลาออกไปตอนฟุตบอลโลก 2010

ดุงกาคุมทีมหนที่สองเป็นนัดแรกในเกมกระชับมิตรที่พบกับโคลอมเบียที่ซันไลฟ์สเตเดียมในไมอามีเมื่อวันที่ 5 กันยายน ค.ศ. 2014 ซึ่งบราซิลเอาชนะไปได้ 1–0 ด้วยประตูชัยจากฟรีคิกของเนย์มาร์ในนาทีที่ 83 นัดถัดมา ดุงกาคุมทีมเอาชนะเอกวาดอร์ (1–0), อาร์เจนตินา (2–0), ญี่ปุ่น (4–0), ตุรกี (0–4) และออสเตรีย (1–2) ดุงกายังคงคุมทีมชนะอย่างต่อเนื่องใน ค.ศ. 2015 โดยเอาชนะฝรั่งเศสในเกมกระชับมิตร 3–1 ต่อด้วยการเอาชนะชิลี (1–0), เม็กซิโก (2–0) และฮอนดูรัส (1–0)

บราซิลประเดิมสนามในโกปาอาเมริกา 2015 ด้วยการเอาชนะเปรู 2–1 โดยได้ประตูชัยจากโดกลัส กอสตาในช่วงท้ายเกม นัดถัดมา พวกเขาพลิกแพ้ต่อโคลอมเบีย 1–0 ก่อนที่จะกลับมาเอาชนะเวเนซุเอลา 2–1 ในนัดสุดท้ายของกลุ่ม ต่อมาในรอบแพ้คัดออก บราซิลพบกับปารากวัย ทั้งสองทีมเสมอกันในเวลา 1–1 ก่อนที่บราซิลจะแพ้การยิงลูกโทษต่อปารากวัย 4–3 ทำให้บราซิลไม่สามารถผ่านเข้าไปเล่นในฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี

ต่อมาในโกปาอาเมริกาเซนเตนาริโอครั้งพิเศษที่จัดขึ้นใน ค.ศ. 2016 บราซิลประเดิมสนามด้วยการเสมอแบบไร้ประตูกับเอกวาดอร์ โดยในช่วงครึ่งหลัง เอกวาดอร์ทำประตูได้แต่ก็ถูกปฏิเสธ นัดถัดมา บราซิลถล่มเอาชนะเฮติ 7–1 โดยฟีลีปี โกชิญญูสามารถทำแฮตทริกได้ และในนัดสุดท้าย พวกเขาขอเพียงแค่ผลเสมอก็จะสามารถผ่านเข้าสู่รอบแพ้คัดออกได้ อย่างไรก็ตาม บราซิลพ่ายแพ้เปรูอย่างพลิกความคาดหมาย 1–0 โดยเปรูได้ประตูชัยจากราอุล รุยดิอัซในนาทีที่ 75 บราซิลแพ้เปรูเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1985 และตกรอบแบ่งกลุ่มของรายการใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่โกปาอาเมริกา 1987

ยุคของชีชี (2016–22)

วันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 2016 ดุงกาถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม โดยมีชีชี ผู้จัดการทีมที่เคยพาโกริงชังส์คว้าแชมป์กังเปโอนาตูบราซีเลย์รูแซรียีอาในปี 2015 และฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลกในปี 2012 เข้ารับตำแหน่งในอีกหกวันถัดมา ชีชีประเดิมคุมทีมนัดแรกในนัดที่บุกไปเอาชนะเอกวาดอร์ 3–0 เมื่อวันที่ 2 กันยายน หลังจากนั้น เขาคุมทีมเอาชนะโคลอมเบีย 2–1, ชนะโบลิเวีย 5–0 และบุกชนะเวเนซุเอลา 2–0 ทำให้บราซิลขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งของตารางคะแนนฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกนับตั้งแต่ ค.ศ. 2011 บราซิลกลายเป็นทีมแรกที่ผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย (หากไม่นับเจ้าภาพอย่างรัสเซีย) หลังจากที่เอาชนะปารากวัย 3–0

บราซิลประเดิมสนามฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการเสมอกับสวิตเซอร์แลนด์ โดยบราซิลได้ประตูจากฟีลีปี โกชิญญูในระยะ 25 หลา นี่เป็นครั้งแรกที่บราซิลไม่ชนะในนัดเปิดสนามของฟุตบอลโลกนับตั้งแต่ปี 1978 นัดถัดมา โกชิญญูและเนย์มาร์ทำคนละประตูช่วยให้ทีมเอาชนะคอสตาริกา 2–0 และในนัดสุดท้ายของกลุ่ม พวกเขาเอาชนะเซอร์เบีย 2–0 โดยได้ประตูจากเปาลิญญูและชียากู ซิลวา ทำให้บราซิลผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่ม ต่อมาในวันที่ 2 กรกฎาคม เนย์มาร์และโรแบร์ตู ฟีร์มีนูทำคนละประตูช่วยให้บราซิลชนะเม็กซิโก 2–0 ผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 กรกฎาคม บราซิลตกรอบก่อนรองชนะเลิศด้วยการแพ้เบลเยียม 2–1 โดยเฟร์นังจิญญูพลาดทำเข้าประตูตัวเอง ในขณะที่เรนาตู เอากุสตูเป็นผู้ทำประตูให้กับบราซิล

แม้ว่าจะล้มเหลวในฟุตบอลโลก แต่ชีชียังคงได้รับโอกาสคุมทีมลุยศึกโกปาอาเมริกา 2019 อย่างไรก็ตาม ก่อนเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์ เนย์มาร์ได้รับบาดเจ็บในเกมกระชับมิตรที่บราซิลเอาชนะแชมป์เอเชียนคัพ 2019 อย่างกาตาร์ 2–0 แม้ว่าทีมจะไม่มีเนย์มาร์ แต่ชีชีก็คุมทีมคว้าแชมป์โกปาอาเมริกาได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 2007 บราซิลประเดิมสนามด้วยการเอาชนะโบลิเวียแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการที่พวกเขาทำประตูในครึ่งแรกไม่ได้ นัดถัดมา พวกเขาถล่มเอาชนะเปรู 5–0 ก่อนที่จะเสมอกับเวเนซุเอลาแบบไร้ประตูทั้งที่พวกเขาทำประตูได้ถึงสามครั้งแต่ก็ถูกปฏิเสธโดยวีเออาร์ทั้งหมด ต่อมาในรอบก่อนรองชนะเลิศ บราซิลชนะการยิงลูกโทษต่อปารากวัย 4–3 หลังจากที่เสมอกันในเวลาแบบไร้ประตู ต่อมาในรอบรองชนะเลิศ พวกเขาเอาชนะคู่ปรับร่วมทวีปอย่างอาร์เจนตินาไปได้ 2–0 ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศโดยจะพบกับเปรูอีกครั้ง และในรอบชิงชนะเลิศ บราซิลก็สามารถเอาชนะเปรูได้อีกครั้งด้วยผล 3–1 คว้าแชมป์โกปาอาเมริกาสมัยที่ 9 ได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม แชมป์ของบราซิลในครั้งนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติอาร์เจนตินาอย่างลิโอเนล เอสกาโลนิว่ามีการล็อกวีเออาร์และมีการเอื้อประโยชน์ให้บราซิลได้แชมป์ โดยชีชีได้ออกมาปฏิเสธข้อหาดังกล่าว

ในวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2021 บราซิลบุกไปเอาชนะปารากวัยด้วยผลประตู 2–0 ที่อาซุนซิออน ถือเป็นการชนะที่ประเทศปารากวัยครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. 1985 ในฟุตบอลโลก 2022 บราซิลคว้าอันดับหนึ่งในรอบแบ่งกลุ่ม โดยเอาชนะเซอร์เบีย 2–0, ชนะสวิตเซอร์แลนด์ 1–0 และแพ้แคเมอรูน 0–1 ตามด้วยการเอาชนะเกาหลีใต้ขาดลอย 4–1 แต่ต้องหยุดเส้นทางในรอบต่อมาด้วยการแพ้จุดโทษโครเอเชีย จากความล้มเหลวดังกล่าว เป็นเหตุให้ชีชีลาออก

ฉายา

ฟุตบอลทีมชาติบราซิลมีฉายาที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของโลก ฉายาที่ใช้เรียกทีมชาติ อาทิ คานาริญญู แปลว่า 'นกน้อย' สื่อถึงนกสายพันธุ์หนึ่งที่พบได้เฉพาะที่บราซิล มีสีเหลืองสว่าง ฉายานี้ถูกเรียกกันมากขึ้นจากอิทธิพลของนักเขียนการ์ตูน Fernando "Mangabeira" Pieruccetti ในช่วงฟุตบอลโลก 1950 ฉายาอื่น ๆ ได้แก่ Amarelinha (พวกสีเหลืองน้อย), Seleção (ผู้ถูกเลือกของชาติ), Verde-amarela (เขียวเหลือง), Pentacampeão (แชมป์ห้าสมัย) และ Esquadrão de Ouro (ผู้เล่นทองคำ) ในขณะที่นักวิจารณ์ชาวละตินอเมริกาบางคนก็เรียกชื่อทีมบราซิลว่า El Scratch (The Scratch)

ภาพลักษณ์ทีม

ขุดแข่งขันแรกของทีมบราซิลเป็นเสื้อสีขาวที่มีคอปกสีน้ำเงิน แต่หลังจากความพ่ายแพ้ที่สนามกีฬามารากานังในฟุตบอลโลก 1950 สีนี้กลับถูกวิจารณ์ว่าไร้ชาตินิยม สมาพันธ์กีฬาบราซิลจึงอนุญาตให้หนังสือพิมพ์ Correio da Manhã จัดการประกวดชุดแข่งใหม่โดยอิงจากสีของธงชาติ ชุดแข่งขันที่ชนะเลิศคือชุดแข่งที่มีเสื้อสีเหลืองขริบเขียว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงินขริบขาว ซึ่งออกแบบโดย Aldyr Garcia Schlee เด็กหนุ่มอายุ 19 ปีจากเมือง Pelotas ชุดแข่งแบบใหม่ถูกใช้งานครั้งแรกในนัดที่พบกับชิลีเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 1954 และชุดแข่งนั้นก็ใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ท็อปเปอร์เป็นผู้ผลิตชุดแข่งจนถึงนัดที่พบกับเวลส์เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 1991 หลังจากนั้น อัมโบรได้เข้ามาผลิตชุดแข่งแทนนับตั้งแต่นัดที่พบกับยูโกสลาเวียในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1991 เป็นต้นมา ปัจจุบัน ไนกี้เป็นผู้ผลิตชุดแข่งทีมชาติ โดยผลิตชุดแข่งครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1998

สีน้ำเงินและขาวถูกใช้เป็นสีชุดแข่งขันที่สองโดยอิงจากสีประจำราชวงศ์โปรตุเกส พวกเขาใช้สีนี้มาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1930 และได้ใช้งานถาวรอันเนื่องจากความบังเอิญในฟุตบอลโลก 1958 รอบชิงชนะเลิศ ที่บราซิลจะต้องพบกับสวีเดนที่สวมชุดแข่งสีเหลืองในฐานะทีมเหย้า แต่บราซิลไม่มีชุดแข่งที่สอง จึงต้องสวมเสื้อสีน้ำเงินธรรมดาพร้อมเย็บตราทีมชาติที่แกะออกจากเสื้อแข่งสีเหลือง

ผู้ผลิตชุดแข่ง

สัญญาชุดแข่ง

สนามแข่ง

บราซิลไม่ได้มีสนามเหย้าของทีมชาติเช่นเดียวกันกับหลายชาติอื่น ๆ พวกเขาหมุนเวียนใช้งานสนามหลายแห่งสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก อาทิ สนามกีฬามารากานังในรีโอเดจาเนโร ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 2006 บราซิลลงเล่นเกมกระชับมิตรที่เอมิเรตส์สเตเดียมของสโมสรฟุตบอลอาร์เซนอล นอกจากนี้ ยังลงเล่นเกมกระชับมิตรอีกหลายนัดที่สหรัฐและส่วนอื่นของโลกสำหรับทัวร์กระชับมิตรบราซิล

ทีมชาติลงฝึกซ้อมที่กรันจาคอมารีที่ Teresópolis ซึ่งอยู่ห่างจากรีโอเดจาเนโร 90 กิโลเมตร สนามซ้อมแห่งนี้เปิดใช้งานใน ค.ศ. 1987 และปรับปรุงใหม่ใน ค.ศ. 2013 และ 2014

ทีมงานฝึกสอน

Collection James Bond 007

ผู้เล่น

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022

ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับ ตูนิเซีย

อดีตผู้เล่นคนสำคัญ

  • กาฟู
  • ฌาอีร์ซิญญู
  • การ์ริงชา
  • เบแบตู
  • เปเล่
  • ซีกู
  • อาเลชังดรี ปาตู
  • ตอสเตา
  • โซกราติส
  • ตาฟาแรล
  • รีวัลดู
  • โรนัลโด
  • โรเบร์ตู การ์ลุส
  • โรมารีอู
  • ดุงกา
  • รอนัลดีนโย
  • กาก้า
  • เลโอนาโด้
  • แจร์ซินโญ

สถิติส่วนบุคคล

สถิติผู้เล่น

ผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด

ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2021
ผู้เล่น ตัวหนา คือผู้เล่นที่ยังคงเล่นให้กับทีมชาติบราซิล

ผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุด

ผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูได้

  • เปเล่ (16 ปี 9 เดือน)

สถิติผู้จัดการทีม

คุมทีมมากที่สุด
Mário Zagallo: 72 นัด

สถิติของทีม

ชนะมากที่สุด
10–1 พบ โบลิเวีย (10 เมษายน 1949)
9–0 พบ โคลอมเบีย (24 มีนาคม 1957)
ไม่แพ้ติดต่อกันนานที่สุด
35 นัด (ค.ศ. 1993–1996) (ร่วมกับ  สเปน ที่ทำได้ระหว่าง ค.ศ. 2007–2009)

สถิติการแข่งขัน

ฟุตบอลโลก

บราซิลผ่านรอบคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลกได้ทุกครั้งโดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันในรอบเพลย์ออฟ พวกเขาชนะเลิศการแข่งขันรายการนี้มากกว่าชาติอื่น ๆ ในโลก

*การเสมอนับรวมถึงการตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ

โกปาอาเมริกา

*การเสมอนับรวมถึงการตัดสินด้วยการยิงลูกโทษ

ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ

สถิติโอลิมปิกส์เกมส์

แพนอเมริกาเกมส์

เกียรติประวัติ

ทีมชุดใหญ่

แชมป์

  • ฟุตบอลโลก:
    • ชนะเลิศ (5): 1958, 1962, 1970, 1994, 2002
    • รองชนะเลิศ (2): 1950, 1998
    • อันดับที่สาม (2): 1938, 1978
    • อันดับที่สี่ (2): 1974, 2014
  • ฟุตบอลชิงแชมป์อเมริกาใต้ / โกปาอาเมริกา:
    • ชนะเลิศ (9): 1919, 1922, 1949, 1989, 1997, 1999, 2004, 2007, 2019
    • รองชนะเลิศ (12): 1921, 1925, 1937, 1945, 1946, 1953, 1957, 1959, 1983, 1991, 1995, 2021
    • อันดับที่สาม (7): 1916, 1917, 1920, 1942, 1959, 1975, 1979
    • อันดับที่สี่ (3): 1923, 1956, 1963
  • ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ:
    • ชนะเลิศ (4): 1997, 2005, 2009, 2013
    • รองชนะเลิศ: 1999
    • อันดับที่สี่: 2001
  • แพนอเมริกันแชมเปียนชิป:
    • ชนะเลิศ (2): 1952, 1956
    • รองชนะเลิศ: 1960
  • คอนคาแคฟโกลด์คัพ:
    • รองชนะเลิศ (2): 1996, 2003
    • อันดับที่สาม: 1998

รางวัล

  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า:
    • ชนะเลิศ (12): 1994, 1995, 1996, 1997, 1998, 1999, 2000, 2002, 2003, 2004, 2005, 2006
  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของเวิลด์ซอกเกอร์
  • ชนะเลิศ (2): 1982, 2002
  • ทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของลอริอุสเวิลด์
  • ชนะเลิศ: 2003
  • รางวัลแฟร์เพลย์ฟุตบอลโลก:
    • ชนะเลิศ (4): 1982, 1986, 1994, 2006
  • รางวัลแฟร์เพลย์ฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ:
    • ชนะเลิศ (2): 1999, 2009
  • รางวัลแฟร์เพลย์โกปาอาเมริกา:
    • ชนะเลิศ (2): 2019, 2021

กระชับมิตร

  • บราซิลเลียนอินดีเพนเดนซ์คัพ: 1972
  • Taça do Atlântico (3): 1956, 1970, 1976
  • ยูเอสเอ ไบเซนเทนเนียลคัพทัวร์นาเมนต์: 1976
  • รูสคัพ: 1987
  • ออสเตรเลียไบเซนเตแนรีโกลด์คัพ: 1988
  • อัมโบรคัพ: 1995
  • เนลสัน แมนเดลาแชลเลนจ์: 1996
  • ลูนาร์นิวเยียร์คัพ: 2005
  • โรกาคัพ / ซูเปร์กลาซิโก เด ลัส อาเมริกัส: (12): 1914, 1922, 1945, 1957, 1960, 1963, 1971, 1976, 2011, 2012, 2014, 2018
  • โกปารีโอบรังโก: (7): 1931, 1932, 1947, 1950, 1967, 1968, 1976
  • Taça Oswaldo Cruz: (8): 1950, 1955, 1956, 1958, 1961, 1962, 1968, 1976

ทีมโอลิมปิกและแพนอเมริกัน

  • โอลิมปิกฤดูร้อน:
    • เหรียญทอง: 2016, 2020
    • เหรียญเงิน (3): 1984, 1988, 2012
    • เหรียญทองแดง (2): 1996, 2008
    • อันดับที่สี่: 1976
  • แพนอเมริกันเกมส์:
    • เหรียญทอง: (4): 1963, 1975 (แชมป์ร่วม), 1979, 1987
    • เหรียญเงิน (3): 1959, 1983, 2003
    • เหรียญทองแดง: 2015
  • คอนเมบอลปรีโอลิมปิกทัวร์นาเมนต์:
    • ชนะเลิศ (7): 1968, 1971, 1976, 1984, 1987, 1996, 2000
    • รองชนะเลิศ (2): 1964, 2020
    • อันดับที่สาม (2): 1960, 2004

ตารางสรุป

ดูเพิ่ม

  • ฟุตบอลหญิงทีมชาติบราซิล
  • ฟุตซอลทีมชาติบราซิล

หมายเหตุ

อ้างอิง

ข้อมูล

  • Ruy Castro (2005). Garrincha – The triumph and tragedy of Brazil's forgotten footballing hero. แปลโดย Andrew Downie. London: Yellow Jersey Press. ISBN 0-224-06433-9.
  • Ivan Soter (2015). Enciclopédia da Seleção: 100 anos de seleção brasileira de futebol. Rio de Janeiro: Folha Seca. ISBN 978-85-87199-29-4.

แหล่งข้อมูลอื่น

  • เว็บไซต์ทางการ (ในภาษาโปรตุเกส)
  • Brazil FIFA profile
  • Brazilian Football – Guide to Football in Brazil
  • RSSSF Brazil
  • All about Brazilian Football – Sambafoot.com

Text submitted to CC-BY-SA license. Source: ฟุตบอลทีมชาติบราซิล by Wikipedia (Historical)

Articles connexes


  1. ฟุตบอลทีมชาติบราซิลรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี
  2. ฟุตบอลหญิงทีมชาติบราซิล
  3. ฟุตบอลชายหาดทีมชาติบราซิล
  4. ฟุตบอลทีมชาติเยอรมนี
  5. ฟุตบอลในประเทศบราซิล
  6. ฟุตบอลทีมชาติเนเธอร์แลนด์
  7. ฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา
  8. ฟุตซอลทีมชาติบราซิล
  9. ฟุตบอลทีมชาติไทย
  10. อาลัง
  11. บราซิลพบเยอรมนี (ฟุตบอลโลก 2014)
  12. ฟุตบอลทีมชาติเวลส์
  13. ฟุตบอลทีมชาติไทยในฟุตบอลโลก
  14. ฟุตบอลชายหาดทีมชาติไทย
  15. ฟุตบอลทีมชาติโปรตุเกส
  16. ฟุตบอลทีมชาติสเปน
  17. ทีมชาติที่ลงแข่งขันฟุตบอลโลกหญิง
  18. ฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่น
  19. โอสการ์ (นักฟุตบอล)
  20. ฟุตบอลทีมชาติปารากวัย


ghbass